"วันนี้เราจะมาทบทวนหลักการที่จะช่วยให้การสอนเขียนมีผลดี" |
Nationnal Concil of Teachers of English ( 2004 : Online ) เสนอหลักการที่จะช่วยให้ครูจัดการเรียนการสอนเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนควรมีความเชื่อมั่นในสิ่งต่อไปนี้
1. มนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะการเขียน การเขียนสามารถสอนได้และครูสามารถช่วยให้นักเรียนเป็นนักเขียนที่ดีได้ ครูควรออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่มุงให้นักเรียนได้เรียนกลวิธีการเขียนและได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ โดยการนำแนวคิดทางทฤษฎีและผลการวิจัยมาสู่การปฏิบัติการ
2. บุคคลเรียนรู้ที่จะเขียนด้วยการเขียน การจะเขียนได้ดีต้องเขียนมาก ยิ่งเขียนมากก็เขียนง่ายขึ้นและมีแรงจูงใจมากขึ้น นักเรียนจะเรียนรู้กระบวนการเขียนจากการมีประสบการณ์ภายในกระบวนการนั้นๆ นับตั้งแต่การร่างข้อเขียน การคิดทบทวน และการปรับปรุงแล้วร่างใหม่
3.การเขียนเป็นกระบวนการ การพิจารณาการเขียนจึงไม่ใช่เพียงผลงานที่เขียนสำเร็จแล้ว แต่ต้องพิจารณาถึงสิ่งที่ผู้เขียนได้กระทำเพื่อให้ได้ข้อเขียนนั้น กระบวนการเขียนไม่มีสูตรตายตัว เป็นขั้นตอนที่สามารถปฏิบัติกลับไปกลับมาได้ ในการสอนเขียนครูควรใส่ใจกับกระบวนการที่นักเรียนต้องใช้เพื่อสร้างข้อความ นักเรียนควรได้ใช้กลวิธีที่หลากหลายในการเตรียมการเขียน การพัฒนาและจัดระเบียบข้อมูล/ข่าวสาร กลวิธีในการปรับปรุงแก้ไข ครูเป็นผู้แนะนำแนวทางตามกระบวนการเขียน รวมทั้งช่วยเหลือนักเรียนในขณะดำเนินการเขียน โดยใช้สถานการณ์ของความร่วมมือกัน นักเรียนจะเรียนรู้ที่จะเขียนได้อย่างดีร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ การสอนเขียนควรให้โอกาสนักเรียนแสวงหากระบวนการที่ดีที่สุดสำหรับตัวนักเรียนเองจากการปฏิบัติ
4.การเขียนเป็นเครื่องมือสำหรับการคิด การคิดในการเตรียมการก่อนเขียนและการคิดในขณะลงมือเขียน ในประการหลังการคิดขณะลงมือเขียนผู้เขียนอาจเกิดความคิดในสิ่งที่ไม่ได้คิดก่อนลงมือเขียน ซึ่งคือการแก้ปัญหาและการทำความเข้าใจแง่คิดเดิม เป็นการพิจารณาซ้ำในสิ่งที่ทำมาแล้วหรือคิดค้างอยู่ ในการสอนเขียนครูควรใช้การเขียนนี้เพื่อสร้างความคิด เช่น เขียนเรื่องเล่าส่วนบุคคล บันทึกการคิดย้อนทบทวน การสังเกต เป็นต้น การเขียนเพื่อการเรียนรู้ในวชาต่างๆจึงมีความสำคัญ
5. การเขียนเกิดจากจุดประสงค์ที่ต่างกัน การเขียนแตกต่างกันตามรูปแบบการเขียน โครงสร้างและกระบวนการ ขึ้นกับจุดประสงค์ของการเขียนและผู้อ่าน กระบวนการและวิธีคิดที่จะเขียนย่อมแตกต่างกัน ในการสอนครูควรให้นักเรียนเรียนรู้ว่าการเขียนแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร เพื่อจุดประสงค์และผู้อ่านแตกต่างกัน ครูต้องให้โอกาสเด็กเขียนในสถานการณ์ต่างๆ
6. การอ่านและการเขียนสัมพันธ์กัน ผู้ที่อ่านมากย่อมเขียนได้ดีได้ง่ายกว่าผู้ที่อ่านน้อย เพราะได้เรียนรู้รูปแบบของภาษาหลายรูปแบบ ทำให้ได้แหล่งสารสนเทศและความคิด การส่งเสริมให้โรงเรียนมีหนังสือที่เหมาะสมแก่นักเรียน และให้นักเรียนสนุกกับการอ่าน จะทำให้นักเรียนอ่านเก่งและเขียนเก่งด้วย
การเขียนและการคิดเกิดขึ้นอย่างผสมผสานกัน การเขียนเปิดโอกาสให้ผุ้เขียนสำรวจความคิดและความคิดเห็นของตนเอง แล้วทำให้ความคิดนั้นๆมองเห็นเป็นรูปธรรมได้ การคิดถือเป็นพื้นฐานของการเขียน และเนื่องจากการคิดเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ นักเรียนที่สามารถทำให้กระบวนการคิดของตนเป็นรูปธรรมโดยการเขียนได้ จะเป็นการส่งเสริมสมรรถภาพการเรียนรู้ของเขาด้วย ( Saskatchewan Education . 2010 : Online )
การเขียนส่งเสริมการคิดและการเรียนรู้ ด้วยเหตุผลดังนี้
1. การเขียนกระตุ้นการสื่อสาร การเขียนสร้างโอกาสให้เกิดการอภิปรายในกลุ่มหรือในกิจกรรมที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2. การเขียนมีจุดเน้นที่ความคิดและการขยายขอบเขตของความคิด ผู้เขียนต้องคิดเพื่อตัดสินใจว่าจะกล่าวถึงอะไรและอย่างไร เป็นการสำรวจความคิด การจัดระเบียบความคิด การเลือกใช้คำ การเพิ่มเติมหรือการตัดทอนความคิด
3. การเขียนทำให้มีการย้อนคิดทบทวนความคิดนั้น เมื่อมีการเขียนความคิดเป็นตัวอักษร ก็สามารถตรวจสอบ พิจารณา ทบทวน เพิ่มเติม จัดระเบียบ หรือเปลี่ยนแปลงได้
4. การเขียนเป็นการใช้ประสาทสัมผัสหลายทาง ทั้งการมองเห็น ได้ยิน ชิมรส ดมกลิ่นและสัมผัสสร้างสรรค์ให้เกิดความคิดและกลั่นกรองเป็นงานเขียน
ในการจัดการเรียนการสอนการเรียนรู้ที่จะเขียนต้องอาศัยการสอนกระบวนการเขียน การสอนในเชิงกระบวนการช่วยให้นักเรียนเรียนการเขียนตามวิธีการที่ผู้มีความสามารถในการเขียนใช้ คือ เลือกหัวข้อ/เรื่องของตนเอง เลือกรูปแบบการเขียน เขียนจากประสบการณ์และการสังเกตของตนเอง โดยวิธีการนี้นักเรียนจะเป็นเจ้าของในการเรียนรู้และต้องรับผิดชอบมาก โดยครูจะต้องสอนให้นักเรียนตระหนักในสิ่งต่อไปนี้
1. การเขียนเป็นกระบวนการกลับไปกลับมา ผู้เขียนดำเนินการเขียนตามขั้นตอนเท่าที่จำเป็น เริ่มจากการเตรียนก่อนเขียน การร่างข้อเขียน แล้วอาจกลับไปที่ขั้นแรกอีก แล้วข้ามไปขั้นปรับปรุง ก่อนที่จะแก้ไขและแลกเปลี่ยนผลงานต่อกัน การปรับปรุงและการแก้ไขอาจรวมกันตามธรรมชาติ
2. การประเมินผลควรประเมินทั้งกระบวนการและผลงานการเขียน เป็นการเน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างการเรียนมากกว่าผลงานอย่างเดียว
3. องค์ประกอบหลักของกระบวนการเขียนของผู้เขียนแต่ละคนจะคล้ายกัน แต่ละคนจะพัฒนากระบวนการเขียนเฉพาะของตน
4. ความสามารภในการเขียนจะเกิดจากการฝึกบ่อยๆและสม่ำเสมอ
5. การเขียนถือเป็นกิจกรรมเดี่ยว แต่การรวมกลุ่มทางสังคมอาจจำเป็นสำหรับนักเรียนในการพัฒนาการเขียนของตนเอง
ในครั้งต่อไปจะเสนอเรื่อง "กระบวนการเขียน"ค่ะ |