การอบรมครูภาษาไทย

ขอให้โรงเรียนในโครงการพัฒนาภาษาไทย ลงทะเบียนเข้ารับการอบรม โดยคลิก ที่นี่ และสามารถตรวจสอบรายชื่อโดยคลิก ที่นี่ หลังการอบรมให้ผู้เข้าอบรมกรอกแบบประเมินผลออนไลน์ดดยคลิก ที่นี่

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ครูที่มีความสามารถสูง

            เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว(ระหว่างวันที่ 16-20 สิงหาคม 2554) ผู้เขียนมีโอกาสไปร่วมประชุมปฏิบัติการการจัดการความรู้ ของสพฐ. ซึ่งจัดที่โรงแรมริเวอร์ไซต์ กรุงเทพฯ ผู้ร่วมประชุมมีทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ครูภาษาไทย ครูคณิตศาสตร์ และครูที่จัดกิจกรรมบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดการประชุมดังกล่าวผู้เขียนได้เรียนรู้ถึงวิธีการจัดการความรู้ผ่านกระบวนการเขียนเล่าประสบการณ์ การสนทนากลุ่มและการแลกเปลี่ยนกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติแล้วและมีผลการปฏิบัติดี  ที่สำคัญคือได้เรียนรู้วิธีการทำงานของเพื่อนครูภาษาไทยทั้ง 38 คน ในเวลา 4 วันเป็นวันที่มีความหมาย ทำให้ผู้เขียนทบทวนความคิดและประมวลความหมายของ "ครูที่มีคุณภาพ:ครูที่มีความสามารถสูง"จากการประชุมและจากความคิดของนักวิชาการ ดังนี้

           Steve Peha (2010) ให้มุมมองถึงลักษณะ7ประการที่ครูพึงปฏิบัติอยู่เสมอแล้วจะเป็นครูที่มีคุณภาพ/มีความสามารถสูง ซึ่งมีมุมมองแตกต่างจากสิ่งที่เราคุ้นเคย และมีความสอดคล้องกับคุณลักษณะของครูภาษาไทย ที่ผู้เขียนได้พบในการประชุม  ดังนี้

        1.กระทำกับสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่กระทำกับสิ่งที่ขาดหายไป  โรงเรียนหรือครูมักจะวัดผลนักเรียนเพื่อที่จะพิจารณาจุดด้อย แล้วแยกนักเรียนออกไปอยู่กับกลุ่มด้อย จากนั้นก็พยายาม "เติมเต็มช่องว่าง"ของความสามารถของนักเรียน ด้วยการจัดการเรียนการสอนของครู ราวกับว่านักเรียนเป็นกระดานชนวนที่ว่างเปล่าสำหรับเขียน หรือเป็นภาชนะที่ว่างเปล่าสำหรับเติมเต็มสิ่งใดๆลงไป  แต่จากการวิจัยเกี่ยวกับสมองและสามัญสำนึกบอกให้เราทราบว่า นักเรียนเรียนได้ดีกว่าถ้าครูสอนจากพื้นฐานที่เขารู้อยู่แล้ว(สิ่งที่เขามีอยู่) ไม่ใช่สอนจากสิ่งที่เขาไม่รู้(สิ่งที่เขาไม่มี)
      2. จัดการวัดและประเมินผลเพื่อความเข้าใจตัวนักเรียน ไม่ใช่เพื่อการตัดสินดีหรือเลว ครูควรมีมุ่งหมายที่จะรู้จักนักเรียนอย่างชัดเจนและสมบูรณ์ในฐานะมนุษย์โดยภาพรวมทั้งหมด มากกว่าที่จะคำนึงถึงเกรดหรือคะแนน 


     3. แสวงหาตัวแบบไม่ใช่แก้ไข  การแก้ไขนักเรียนโดยการให้คะแนนผลงานและการทดสอบ ไม่ได้ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ แต่กลับสูญเสียเวลาและไม่ใช่หนทางที่ได้ประโยชน์ การแก้ไขเป็นการบอกถึงความผิด  ไม่ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ในจุดที่ต้องการ แต่นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากตัวแบบและแก้ไขด้วยตนเอง

     4. จัดหาเครื่องมือให้ไม่ใช่ให้กฎเกณฑ์  โดยมากการสอนเป็นการให้กฎเกณฑ์ ให้นักเรียนทำสิ่งนั้นไม่ทำสิ่งนี้ เป็นการเพิ่มกฎเกณฑ์ แต่ลดศักยภาพของนักเรียนในการบริหารจัดการตนเอง ซึ่งเป็นความสามารถพื้นฐานที่เราหวังจะให้เด็กมีก่อนที่เขาจะจบการศึกษาไปจากโรงเรียน

     5. คำนึงถึงกระบวนการไม่ใช่ผลงาน นักเรียนไม่ว่าวัยใด ความสามารถระดับใด จะมีความก้าวหน้าได้ดีถ้าเราให้คำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ มากกว่าคำแนะนำเกี่ยวกับผลงาน  การให้คุณค่าในเรื่อง "นักเรียนเรียนรู้อย่างไร" เพิ่มเติมจากเรื่อง "นักเรียนเรียนรู้อะไร" เป็นการคำนึงถึงนักเรียนแต่ละบุคคล และให้พื้นฐานแก่เขาสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต


     6. ควบคุมกิจกรรมไม่ใช่ควบคุมนักเรียน  นักเรียนต้องการโครงสร้างการเรียนการสอน โดยเฉพาะตอนเริ่มต้น  แต่โครงสร้างนั้นต้องไม่กำหนดว่านักเรียนต้องทำอะไรและทำอย่างไร เพราะนักเรียนต้องการทางเลือกในการเรียนรู้และการแก้ปัญหา ถ้านักเรียนไม่ได้เลือกจะทำให้เขาขาดความรู้สึกความเป็นเจ้าของ และถ้่าไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ จะทำให้นักเรียนมีแรงจูงใจน้อยที่จะทำให้ดีที่สุด

     7. ยกย่องชมเชยความพยายามไม่ใช่ผลงาน  นักเรียนต้องการการยกย่องชมเชยจากครู ซึ่งจะทำให่เขาเต็มใจทำในสิ่งนั้น ครูจึงควรยกย่องชมเชยความพยายามแทนผลงาน เพราะนักเรียนทุกคนไม่ได้ประสบความสำเร็จในงานที่เขาพยายามทำ  โดยเฉพาะงานใหม่ๆ แต่ถ้าเมื่อใดที่นักเรียนมีความพยายามทำงานนั้นๆ เขาย่อมมีโอกาสเรียนรู้และปรับปรุงตนเอง

        ขอขอบคุณ อ.ดุจดาว เจ้าของโครงการ ครูภาษาไทยทั้ง 38 คนและศึกษานิเทศก์กัลยาณมิตรทั้ง 3 คน(ศน.ประไพพิศ  ศน.สิรี และ ศน.ชโลบล) ที่ร่วมถอดประสบการณ์การจัดการความรู้ของครูภาษาไทย ที่ทำให้เกิดบทความนี้ค่ะ







วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แนวทางการจัดการเรียนการสอนเขียน : ตอนที่ 3



เพื่อนครูขอให้ยกตัวอย่างกิจกรรมที่ใช้สอนในขั้นเตรียมการก่อนเขียนเพิ่มเติม เพื่อเป็นแนวทางนำไปใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษา"งานสอนเหมือนพ่อครัวนะครับต้องเตรียมเครื่องปรุงให้พร้อม อาหารจะได้อร่อยครับ"

       ตัวอย่างกิจกรรม...... ในขั้นเตรียมการก่อนเขียน

กิจกรรมที่ 1 "คำชวนคิด พินิจสัมพันธ์"
        
        1. ครูจัดหาหนังสือ/วารสารจำนวน 3-4 ชุด โดยครูมีหนังสือเหล่านั้นอยู่ในมือ1ชุด เพื่อแสดงเป็นตัวแบบของกระบวนการร่วมกับนักเรียน 
         2. ให้นักเรียนเปิดหนังสือหน้าใดก็ได้(สุ่ม) แล้วจดบันทึกคำแรกที่พบเป็นคำที่ 1 แล้วปิดหนังสือ ทำแบบเดิมจนได้คำ 4 คำ  
         3. หลังจากได้คำครบแล้ว  ครูและนักเรียนจดรายการความคิดของตนเกี่ยวกับคำๆนั้น  รวมทั้งคิดถึงความสัมพันธ์ที่คำๆนั้นเกี่ยวเนื่องกัน  เมื่อทำครบ 4 คำ ครูและนักเรียนร่วมกันหาความสัมพันธ์ของคำทั้ง 4 คำ แล้ะจัดกลุ่มความคิด
         4. ครูและนักเรียนร่วมกันเขียนวลี  ประโยค  และความคิดที่แสดงความสัมพันธ์
        กิจกรรมนี้เป็นการอุนเครื่องให้นักเรียนได้มีโอกาสพิจารณาความคิดครั้งแรกๆเพื่อนำไปสู่การเขียนต่อไป
 


 กิจกรรมที่ 2 "เขาคือใคร..."
       
   1. ครูหรือนักเรียนหาภาพถ่ายหรือภาพบุคคลจากหนังสือต่างๆ(ภาพควรเป็นภาพบุคคลที่มีรายละเอียดที่บ่งบอกถึง รูปร่าง หน้าตา ขนาด สีหน้า การแต่งกาย และรายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับบุคลิกภาพ/ลักษณะของตัวละคร)
   2. ให้นักเรียนตั้งคำถามและตอบคำถามถึงความคิดและปฏิกริยาต่อภาพ โดยใช้เวลาสั้นๆในแต่ละคำถาม นักเรียนพิจารณาภาพอย่างละเอียด และอาจใช้จินตนาการประกอบการคิด ดังตัวอย่างคำถาม
- ใครเป็นตัวเอกในภาพ
- เขาควรมีชื่อที่เหมาะสมว่าอะไร
- เขาอายุเท่าไร
- เขาแสดงอารมณ์อย่างไร( อธิบายเพิ่มเติม เช่น การแสดงสีหน้า ลักษณะท่าทาง ฯลฯ )
- เขาควรทำงาน/อาชีพ ชนิดไหน ( ให้เหตุผลประกอบ )
- เขากำลังคิด/พูดอะไร    อะไรทำให้นักเรียนคิดเช่นนั้น
- คุณลักษณะอื่นๆของตัวละครที่แสดงออกจากเครื่องแต่งกายและท่าทางมีอะไรบ้าง
- เหตุการณ์อะไรที่น่าจะเกิดขึ้นก่อนภาพนี้อะไรจะเกิดต่อไปจากภาพนี้
- ตัวละครอื่นๆน่าจะมีความสัมพันธ์กับตัวละครเอกอย่างไร  อะไรทำให้นักเรียนคิดเช่นนั้น
- ตัวเอกมีทัศนคติต่อตัวละครอื่นอย่างไร และตัวละครอื่นมีทัศนคติต่อตัวเอกอย่างไร เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้สำหรับทัศนคติเหล่านั้น
     3. ให้นักเรียนเขียนบันทึกความคิดสั้นๆโดยเขียนเป็นคำหรือวลีและประโยคสั้นๆ 
        กิจกรรมนี้ทำให้นักเรียนมีโอกาสพัฒนาความคิดและนำไปใช้ในการหาหัวข้อเรื่องที่จะเขียนต่อไป 


กิจกรรมที่ 3 "เขียนๆๆๆๆลุยไม่รู้โรย"
    
       กิจกรรมนี้เป็นการเตรียมนักเรียนให้เขียนอย่างอิสระ  
        1. ครูอธิบายให้นักเรียนทราบว่ากิจกรรมต่อไปนี้จะให้เขียนความคิดอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นในทันทีที่ครูพูดว่า "เริ่ม" จนถึงพูดว่า "หยุด"
        2. ในขณะที่นักเรียนเขียนไม่มีการหยุด  ไม่มีการลบ  ไม่มีการแก้ไข  ให้เขียนอย่างต่อเนื่องต่อความคิดที่เกิดในขณะนั้น
        3. ครูให้นักเรียนจับคู่อ่านและแลกเปลี่ยนข้อเขียน
        4. นักเรียนจับกลุ่มตามความสมัครใจ อ่านข้อเขียนอิสระของตนให้กลุ่มฟัง  แล้วสมาชิกกลุ่มให้ข้อคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์และเชิงบวก
         กิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความกล้าที่จะเขียนโดยปราศจากกฏเกณฑ์ เพื่อให้มีความเชื่อมั่นว่าทุกคนคิดและเขียนได้อย่างอิสระ จะส่งผลต่อการเริ่มคิดที่จะเขียนในขั้นต่อๆไป
เพื่อน : กัลยาณมิตร ช่วยกันคิด ช่วยกันพัฒนาเด็กไทยให้กล้าคิด กล้าเขียน และเป็นคนดีของสังคมไทย - สังคมโลก



 

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แนวทางการจัดการเรียนการสอนเขียน : ตอนที่ 2

     การริเริ่มการคิดและการได้มาซึ่งหัวข้อที่จะเขียน เป็นเรื่องสำคัญที่ครูควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่นักเรียนในขั้นเตรียมการก่อนเขียน(pre-writing)ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการเขียน  ข้อสำคัญคือนักเรียนควรได้สำรวจความคิดในการหาหัวข้อที่จะเขียน  โดยครูอาจใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้
   - การระดมสมอง
   - การสร้างแผนภาพ
   - การสัมภาษณ์ผู้รู้ที่จะช่วยให้ได้หัวข้อเรื่อง
   - การร่วมอภิปรายหรือการประชุมหารือในกลุ่มเพื่อน
   - การประชุมกลุ่มที่มีครูเข้าร่วมให้คำปรึกษา
   - การฟังดนตรี
   - การอ่านและค้นคว้าหาชื่อเรื่อง
   - การเขียนอย่างเสรีเกี่ยวกับเรื่อง/ชื่อเรื่อง
   - การย้อนคิดทบทวนจากประสบการณ์
   - การตรวจสอบความคิดจากแบบอย่างการเขียนที่ดีๆ
   - การดูสื่อต่างๆ เช่น ภาพ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ
   - การอ่านและแสดงความรู้สึกที่มีต่อวรรณคดี
   - การเล่นบทบาทสมมุติ/ละคร
   - การใช้คำถาม 5Ws ( who,what,where,when,why )


       การระดมสมองเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ และอารมณ์ความรู้สึก  โดยการบอกชื่อบุคคลที่ต้องการบรรยาย  แล้วลองพูดบรรยายอย่างสั้นๆอย่างรวดเร็วให้เพื่อนฟัง หรือจดชื่อสถานที่ที่ได้ไปมา  แล้วเขียนเฉพาะคำที่จะใช้บรรยายในแต่ละที่ หรือจดรายการและบรรยายถึงความรู้สึกที่จดจำได้ และอธิบายถึงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้น
           การพูดคุยโดยการจับคู่หรือกลุ่ม  โดยผลัดกันเล่าถึงบุคคล สิ่งของ เหตุการณ์ วัตถุที่น่าสนใจ ให้ผู้ฟังตั้งคำถามเพื่อเพิ่มความคิด บันทึกความคิดและชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการอภิปราย
การชมงานศิลปะ ศึกษาภาพระบายสี ภาพถ่าย ภาพวาดหรืองานปั้นในวารสารหรือหนังสือทางศิลปะ หรืออาจไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์หรือที่แสดงนิทรรศการงานศิลปะ จดบันทึกรวมทั้งจดคำถามที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับงานศิลปะ และจดเฉพาะหัวข้อเรื่องที่เกิดขึ้นในใจขณะการสังเกต เพื่อนำกลับมาสนทนาในกลุ่มโดยอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับงานศิลปะนั้น


      การฟังดนตรี  การฟังดนตรีที่ชอบ/ที่ใหม่/ที่ไม่คุ้นเคย จากเทปหรือวิทยุ  โดยหลับตาแล้วให้เสียงเพลงช่วยสร้างภาพในใจ  จากนั้นจดบันทึกความคิดที่ได้แล้วนำมาพูดคุยถึงจินตนาการที่เกิดขึ้น
    การแสดงบทบาทสมมุติ โดยร่วมแสดงเป็นตัวละครต่างๆกับเพื่อนๆ เพื่อสร้างเหตุการณ์สมมุติขึ้น ว่าจะเกิดอะไรขึ้น    การสังเกตด้วยประสาทสัมผัส  โดยให้นักเรียนตระหนักว่ามันเกิดขึ้นรอบๆตัวเราทั้งในห้องเรียน ที่บ้าน ที่ร้านค้า และทุกๆที่ที่ไป ฟังการสนทนาของบุคคลที่พบ พิจารณารายละเอียดของกริยาท่าทางและการแต่งกาย สังเกตเพื่อให้ได้ข้อคิด ปัญหาหรือความสำเร็จในชุมชน จดบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ในทันทีเท่าที่จะทำได้
         การอ่าน ครูควรให้นักเรียนอ่านหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์หรือบทกวี แล้วบันทึกความคิดที่เกิดขึ้น รวมทั้งตั้งคำถามที่ควรศึกษาค้นคว้าต่อไป ในเรื่องเกี่ยวกับ คำศัพท์ที่น่าสนใจ โครงเรื่อง ตัวละคร
        การค้นคว้าจากหนังสือพิมพ์  โดยให้นักเรียนอ่านเรื่องหรืดพาดหัวข่าวที่สนใจ แล้วจดความคิดเพื่อเขียนบทความหนังสือพิมพ์ หรือความคิดที่จะนำมาใช้ในการเขียนประเภทต่างๆ 
        การเชิญนักเขียนมาให้ข้อคิด  การที่นักเรียนได้ฟังนักเขียนมาพูดอภิปรายถึงผลงานและข้อคิดจากการเขียน  จะทำให้นักเรียนเข้าใจกระบวนการเขียนได้มากขึ้น และเก็บเกี่ยวความคิดสำหรับการเขียนของตนเอง
        กิจกรรมทั้งหลายในขั้นเตรียมการก่อนเขียน(pre-writing)นี้เป็นหลักสำคัญสำหรับนักเรียนที่ยังไม่มีประสบการณ์การเขียน  ซึ่งจะมีความยุ่งยากในการเข้าถึงความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ และความรู้ กิจกรรมต่างๆจะช่วยให้นักเรียนมีจุดเริ่มต้น  และตระหนักถึงแหล่งที่จะได้ความคิดในวันข้างหน้า  การมีจุดเริ่มต้นในการคิดและเขียนจะจูงใจในการพัฒนางานเขียนของนักเรียนในครั้งต่อๆไป

มาช่วยกันเติมเต็มการริเริ่มและการคิด  เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนไทยคิดแล้วสามารถสื่อสารความคิดโดยการเขียน



วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แนวทางการจัดการเรียนการสอนเขียน : ตอนที่ 1

ธรรมชาติของกระบวนการเขียน(The nature of writing process)การเขียนเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อน ที่เปิดโอกาสให้ผู้เขียนสำรวจความคิด แล้วทำความคิดนั้นให้มองเห็นได้และเป็นรูปธรรม การเขียนกระตุ้นการคิดและการเรียนรู้ และนำความคิดมาทบทวนเพื่อเขียนความคิดเป็นลายลักษณ์อักษร ตรวจสอบความคิด พิจารณาความคิดใหม่หรือเพิ่มเติม จัดใหม่และเปลี่ยนแปลงได้  การเขียนจะกระตุ้นการคิดและการเรียนรู้ต่อเมื่อนักเรียนมองการคิดว่าเป็นกระบวนการ(Ghazi.2002:Online)
      ในอดีตมีแนวทางการจัดการเรียนการสอนเขียนหลายวิธี เช่นการฝึกโดยให้เด็กเรียนรู้จากประโยคและย่อหน้าที่ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ แล้วเปลี่ยนแปลงเป็นการฝึกให้เด็กก้าวไปสู่การเขียนที่ถูกต้องก่อนที่จะให้เขียนอย่างอิสระ ในปัจจุบันการสอนเขียนได้เปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตของการเขียนมาเป็นกระบวนการเขียนผู้เขียนจะต้องถามตัวเองในลักษณะของคำถามต่อไปนี้
   -"ฉันจะเขียน(สิ่งนี้/เรื่องนี้)อย่างไร"
   -"ฉันจะเริ่มต้นเขียนอย่างไร" 

แนวทางที่นักเรียนถูกฝึกให้คิดในการที่จะเขียน ได้แก่ การคิดถึงจุดมุ่งหมายในการเขียน ผู้อ่านการร่างการเขียนหลายๆแบบ เพื่อนำเสนอผลงานการเขียนที่สามารถสื่อสารถึงความคิดของตน ครูผู้สอนที่ใช้แนวทางนี้จะให้เวลาแก่นักเรียนที่จะคิดและให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับ  เนื้อหาที่นักเรียนเขียนในร่างของ
เขา ด้วยวิธีนี้ทำให้กระบวนการเขียนเป็นกระบวนการของการค้นพบโดยตัวของนักเรียนเอง ค้นพบทั้งความคิดใหม่ๆ และรูปแบบของภาษาใหม่ๆที่แสดงออกถึงความคิดของตนเอง นอกจากนี้การเรียนรู้ที่จะเขียนในลักษณะนี้เป็นเสมือนกระบวนการของการพัฒนาการที่ช่วยให้นักเรียนเขียนได้เช่นเดียวกับที่นักเขียนมืออาชีพปฏิบัติ เพราะนักเรียนเป็นผู้เลือกชื่อเรื่อง อรรถลักษณ์ของภาษา(genre:เสาวลักษณ์ รัตนวิชช์.2550 ใช้คำว่าอรรถลักษณ์ของภาษา ซึ่งเน้นความสำคัญของโครงสร้างการดำเนินเรื่องและลักษณะของภาษาที่แตกต่างกันไป เช่น เรื่องเล่าจากประสบการณ์ รายงาน )และเขียนจากประสบการณ์หรือจากการสังเกต

       แนวทางการสอนเขียนโดยใช้กระบวนการเขียนครูผู้สอนต้องให้นักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบ(ส่วนใหญ่)และเป็นเจ้าของทางการเรียนรู้ ในขณะเขียนนักเรียนจะอาศัยความร่วมมือจากเพื่อนนักเรียน ระหว่างการเขียนนักเรียนต้องปฏิบัติกิจกรรมในขั้นpre-writing , planning ,drafting editing ,publishing  แต่เนื่องจากกระบวนการเขียนมีลักษณะการคิดกลับไปกลับมาได้ นักเรียนอาจไม่ต้องทำกิจกรรมตามขั้นตอนดังกล่าวตามลำดับ 
             
                ตัวอย่าง กิจกรรมการเขียน

กิจกรรมที่1  การบรรยายภาพ ให้นักเรียนดูภาพแล้วบอกชื่อสิ่งของในภาพ จากนั้นให้นักเรียนเขียนข้อความบรรยายภาพ เช่น ภาพห้องเรียน ครูถามให้นักเรียนบอกสิ่งที่เห็นในภาพ แล้วให้เขียน(ย่อหน้าข้อความโดยอาจเริ่มต้นให้นักเรียนเขียน เช่น "ในห้องเรียนมี..................." แล้วให้นักเรียนเขียนเติม
กิจกรรมที่ 2  เติมคำลงในช่องว่าง  ดังตัวอย่าง
      
       มาลีอาศัยอยู่ในห้องที่น่ารัก  ภายในห้องของเธอมี.........  ,  ......... , .......... และ................. อย่างละหนึ่งอัน  และมี.................หลายอัน แต่ไม่มี...................เธอต้องการได้..................สำหรับประดับฝาห้อง

กิจกรรมที่ 3 เติมคำบุพบทในช่องว่างให้เหมาะสมกับบริบทของเรื่อง
ดังตัวอย่าง

       ภาพนี้เป็นภาพห้องของมาลี เตียงนอนอยู่............กับหน้าต่าง มีชั้นวางหนังสืออยู่.........เตียงของเธอ บน.........มีวิทยุซึ่งอยู่.............โต๊ะทำงาน

กิจกรรมที่ 4 เขียนบรรยายจากคำถาม  ให้นักเรียนดูภาพแล้วใช้ชุดคำถามเป็นแนวทางให้นักเรียนเขียนบรรยายสั้นๆเกี่ยวกับภาพนั้น ตัวอย่างคำถาม
  - มาลีมีห้องที่น่ารักใช่หรือไม่
  - มีสิ่งของอะไรบ้างในห้องของมาลี
  - นักเรียนชอบอะไรในห้องของมาลี
  - เธอมีห้องเหมือนมาลีไหม  บรรยายห้องของเธอมา 2-3 ประโยค

กิจกรรมที่ 5 เขียนจากชุดคำ  โดยครูให้ชุดคำแก่นักเรียนที่จะเขียนตามการชี้แนะเพื่อการเขียนประโยค  แล้วให้นักเรียนเขียนเล่าเรื่องเป็นย่อหน้าสั้นๆ  เช่น
 - วินัย / ห้องครัว / กาแฟ / เตรียม / ลงบันได
 - ของเขา / ภรรยา / ดังนั้น / อาหารเช้า / ออกไปนอกบ้าน / ใน / สวน
กิจกรรมที่ 6 การรวมประโยค โดยใช้คำเชื่อม
ตัวอย่าง 
  - ผู้ชายคนนั้นรูปร่างสูง              - ผู้ชายคนนั้นมีผมดำ
  - ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ริมหน้าต่าง  -ผู้ชายคนนั้นดูน่าสงสัย

กิจกรรมที่ 7 การเขียนจากการสัมภาษณ์ปากเปล่า ให้นักเรียนสัมภาษณ์เพื่อนแล้วเขียนบอกสิ่งที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนคนนั้น โดยกำหนดหัวขอไว้ล่วงหน้า เช่น
  - พูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับตัวของเพื่อนและครอบครัวมีความเป็นมาจากไหน ครอบครัวอยู่ที่ไหน งานอดิเรกคืออะไร ฯลฯ
  - พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับโรงเรียน
  - ให้พูดบรรยายเหตุการณ์ที่น่าจดจำ
  - ให้พูดบรรยายเป้าหมายและแผนการในอนาคต
  - ให้พูดบรรยายถึงเรื่องการปิดภาคเรียนที่ผ่านมา
        กิจกรรมที่นำเสนอทั้ง 7 กิจกรรมนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการในขั้นเตรียมการก่อนเขียน( pre-writing ) ที่ครูต้องให้เวลาแก่  นักเรียนในการคิดที่จะเขียนเพื่อสื่อสารด้วยตนเอง......ในครั้งต่อไปจะขยายตัวอย่างกิจกรรมที่ครูสามารถนำไปใช้ในแต่ละขั้นของกระบวนการเขียนค่ะ














วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กระบวนการเขียน :ตอนที่ 4

      นักวิชาการและองค์กรทางวิชาการที่เสนอแนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกระบวนการเขียนและแบ่งกระบวนการเขียนเป็น 5 ขั้นคล้ายคลึงกัน มีดังนี้ (Laurich.2009:Online, Arcanum High School.2010:Online, Texas Assisstive Technology Network.2010:Online, Time4Writing.2010:Online)

1. การเตรียมการก่อนเขียน(Prewriting)เป็นขั้นของการคิดหรือขั้นวางแผนการเขียน ประกอบด้วยการดำเนินการดังต่อไปนี้
   1.1 การตกลงใจเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่จะเขียน
   1.2 การตั้งจุดประสงค์ในการเขียน ( เพื่อเล่าเรื่อง เพื่ออธิบาย หรือเพื่อเปรียบเทียบ ฯลฯ)
   1.3 การพิจารณาเกี่ยวกับผู้อ่านหรือผู้ที่จะฟังงานเขียน
1.4 การพิจารณาเกี่ยวกับโครงสร้างเนื้อหา(Text structure)
     การดำเนินการในขั้นเตรียมการก่อนเขียนประกอบด้วยวิธีการดังนี้
      1) การจัดทำรายการที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับหัวข้อเรื่อง
      2) การเขียนอย่างอิสระ เริ่มต้นเขียนตามหัวข้อเรื่องอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหมดเวลาที่ตั้งไว้
      3) การรวบรวมความคิดหรือสารสนเทศเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง โดยการระดมความคิดจากการอ่านหรือการค้นคว้าจากสถานที่ต่างๆ การอภิปรายพูดคุยกับผู้อื่น การกลั่นกรองโดยการคิดอย่างลึกซึ้ง ว่ามีสิ่งใดที่จำเป็นต้องกล่าวถึงเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง หรือใช้วิธีการอื่นที่จะช่วยให้ได้จุดสำคัญของความคิด
      4) การเรียบเรียงความคิด โดยการจัดกลุ่มความคิดหลักเป็นศูนย์กลาง แล้วเชื่อมโยงคำ วลี หรือความคิดที่เกี่ยวข้องมาสู่ศูนย์กลาง เป็นการหาทิศทางของความคิด หรือการเรียบเรียงตามลักษณะโครงสร้างเนื้อหา
     5) การอาศัยแผนภาพในการสร้างภาพความคิดหรือวางเค้าโครงความคิด  ซึ่งจะมีลักษณะของการจัดกลุ่ม  การแสดงลำดับขั้นที่มีเหตุผล การแสดงความสัมพันธ์ของสารสนเทศหรือความคิด หรือการเรียบเรียงตามรูปแบบการเขียน(Form of writing) ซึ่งแผนภาพนี้ยังใช้เป็นสิ่งอ้างอิงในขณะที่นักเรียนดำเนินการตลอดกระบวนการเขียน
      ในขั้นตอนนี้ครูควรทำให้นักเรียนมีความรู้และกลวิธีในเรื่องต่างๆ ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาหรือรูปแบบการเขียน กลวิธีในการหาหัวข้อเรื่อง กลวิธีสร้างความคิดและกลวิธีในการเรียบเรียงความคิด
       เมื่อวางแผนการเขียนแล้ว มีแนวทางในการตรวจสอบความสมบูรณ์อาจใช้คำถามต่อไปนี้
1)  ชื่อเรื่อง..............
2)  ฉันเขียนเรื่องสำหรับใคร...............
3)  ทำไมฉันต้องเขียนเรื่องนี้...............
4)  ฉันรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้(ระดมสมอง).............
5)  ฉันจะจัดกลุ่มความคิดอย่างไร.................................
6)  ฉันจะเรียบเรียงความคิดอย่างไร
ก. เปรียบเทียบความคล้ายคลึงและความแตกต่างระหว่างอะไร
ข. อธิบายอะไร
ค. ปัญหาและการแก้ไขในเรื่องอะไร
ง. ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น(เริ่มแรก ต่อมา จากนั้น ในที่สุด)

2. การร่าง(Drafting) เป็นขั้นการเขียนความคิดเป็นประโยคและย่อหน้าตามโครงร่าง  การร่างครั้งแรกย่อมไม่สมบูรณ์ แต่การร่างบ่อยครั้งจะทำให้ผู้เขียนรู้มากกว่าครั้งก่อนที่เคยร่าง  และจะเตรียมการได้ดียิ่งขึ้น  การร่างเป็นขั้นตอนของการเขียน  ดำเนินการดังนี้
2.1 นำสารสนเทศที่ค้นคว้ามาเขียนด้วยภาษาของตนเอง
2.2 เขียนประโยคและย่อหน้า  แม้ว่าจะยังเขียนได้ไม่สมบูรณ์
2.3 อ่านสิ่งที่เขียนแล้วตัดสินว่าข้อเขียนกล่าวถึงสิ่งที่ต้องการหรือไม่
2.4 นำร่างเสนอให้ผู้อื่นอ่านแล้วขอคำแนะนำ

       3. การปรับปรุง(Revising)เป็นขั้นที่ทำให้การร่างมีความหมายชัดเจนน่าสนใจหรือขยายความคิดมากขึ้น ทั้งนี้ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วยการดำเนินการด้วยตนเอง จับคู่ทำกับเพื่อนหรือทำในกลุ่มเล็ก ดังนี้
      3.1 อ่านข้อเขียนอีกครั้งเพื่อเป็นการทบทวน
      3.2 คิดถึงสิ่งที่ผู้อื่นแนะนำไว้
      3.3 เรียบเรียงคำ หรือประโยคใหม่
      3.4 เอาบางส่วนออก หรือเพิ่มเติมบางส่วนเข้าไป
      3.5 ใช้คำใหม่แทนคำที่ใช้บ่อยครั้งเกินไป หรือไม่ชัดเจน
      3.6 ปรับปรุงลีลาการเขียนเพื่อให้ร่างการเขียนดีขึ้น
      3.7 อ่านข้อเขียนดังๆเพื่อดูว่าข้อเขียนดำเนินอย่างราบรื่นหรือไม่


      4. การแก้ไข/การพิสูจน์อักษร(Editing/Proofreading) เป็นขั้นการแก้ไขข้อผิดพลาดในด้านไวยากรณ์ และระเบียบแบบแผนทางภาษา ได้แก่ การสะกดคำ การใช้อักษรและเครื่องหมายวรรคตอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการแก้ไขให้ประณีตยิ่งขึ้นและเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจส่วนตัวของผู้เขียน 

             5. การเผยแพร่(Publishing) ขั้นนี้มีความหมายกว้างมากกว่าการนำข้อเขียนไปจัดพิมพ์ในวารสารหรือหนังสือพิมพ์ แต่หมายความรวมถึงการนำข้อเขียนไปถึงมือผู้อ่านที่อาจเป็น เพื่อน ครู หรือผู้ปกครอง หรือเป็นขั้นที่จัดให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มเพื่อน และระหว่างผู้อ่านอื่นๆ ซึ่งอาจเลือกดำเนินการดังนี้
               5.1 อ่านข้อเขียนดังๆให้กลุ่มเพื่อนฟัง
               5.2 นำผลงานจัดทำเป็นหนังสือ
               5.3 สำเนาส่งให้เพื่อนหรือญาติอ่าน
               5.4 จัดแสดงผลงาน/นิทรรศการผลงานเขียน

     

กระบวนการเขียนทั้ง 4 ตอนที่กล่าวมาแล้วคงเป็นแนวทางให้ครูภาษาไทยพิจารณาเลือกใช้หรือประยุกต์นำไปสู่การสอนและจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติทั้งกระบวนการเขียน....และอย่าลืมนะคะ.....กระบวนการเขียนนี้สามารถดำเนินกลับไปกลับมาในแต่ละขั้นได้.....เพราะการเขียนเป็นการคิดที่คู่ขนานกันตลอดเวลา....................

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กระบวนการเขียน : ตอนที่ 3




  "ในตอนนี้...เป็นการนำเสนอแนวคิดของหน่วยงานของต่างประเทศที่กล่าวถึงขั้นตอน 7 ขั้นในงานเขียนที่ครูควรมอบหมายให้นักเรียนดำเนินการในกระบวนการเขียน  เชิญติดตามค่ะ"

 Educational Public Service (2010:Online) เสนอขั้นตอนต่างๆ 7 ขั้น  ในงานเขียนที่นักเรียนได้รับมอบหมายจากครู  แต่ละขั้นมีการดำเนินการดังต่อไปนี้

     1.การพัฒนาเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่จะเขียน(Developing your topic)ในกรณีที่ครูไม่ได้กำหนดหัวข้อเรื่องให้  นักเรียนจะเลือกหัวข้อเรื่องจากเรื่องที่ตนสนใจ หรือ อยากรู้อยากเห็น เช่น จากการศึกษาค้นคว้าจากตำราหรืองานอดิเรกเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ  เมื่อกำหนดหัวเรื่องได้แล้วนักเรียนจะเขียนความคิดหลักเกี่ยวกับเรื่อง แล้วดำเนินการดังนี้
         1.1 จดความคิดหลักเป็นวลี หรือคำ หรือคำที่สำคัญ แล้วจัดทำเป็นแผนที่ความคิด(Concept map)
         1.2 บอกถึงสิ่งที่นักเรียนต้องการทำเกี่ยวกับความคิดนั้น เช่น ต้องการเขียนความเรียงเชิงโน้มน้าว หรือเขียนอธิบาย หรือตามที่ครูกำหนดงานไว้
         1.3 บอกถึงแหล่งค้นคว้าที่นักเรียนจะสืบค้นสารสนเทศ  อาจเริ่มจากสารานุกรม แล้วขยายวงกว้างไปสู่แหล่งอื่นๆ รวมทั้งบุคคลและองค์กรที่เป็นผู้รู้
         1.4 สรุปความเกี่ยวกับหัวเรื่อง แล้วนำไปปรึกษาหารือกับครู  เพื่อได้ข้อมูลย้อนกลับที่ทำให้เข้าใจกระจ่างมากยิ่งขึ้น หรือได้ความคิดใหม่ๆ

     2. การกำหนดผู้อ่าน(Identify your audience) กลุ่มผู้อ่านจะทำให้รูปแบบการเขียนและคำศัพท์ที่ใช้แตกต่างกันไป  เช่นการเขียนเรื่องกีฬาให้เพื่อนนักเรียนอ่านกับการเขียนให้ผู้ปกครองอ่านจะแตกต่างกัน 


3. การศึกษาค้นคว้า(Research) เป็นขั้นการรวบรวมสารสนเทศและจดบันทึก  ทั้งจากการสัมภาษณ์  การอ่าน การทดลอง การเก็บข้อมูลจากแหล่งต่างๆ


4. การเรียบเรียงความคิดและการเตรียมการก่อนเขียน(Organize and prewrite) เป็นขั้นที่จะสรุปถึงคำสำคัญ  ความหมาย และโครงสร้างที่จะใช้กับสารสนเทศที่รวบรวมได้ก่อนที่จะเขียนร่างแรก  วิธีการนี้จะช่วยให้ผ่านอุปสรรคการเขียนได้ เพราะช่วยให้นักเรียนค้นพบความคิดสำคัญ แปลความหมายสิ่งที่รวบรวมมาเป็นภาษาของนักเรียนเอง  รวมทั้งการได้โครงสร้างของเรื่องอย่างมีเหตุผล
     5. การร่าง(Draft / Write) นักเรียนจะสามารถร่างข้อเขียนได้เมื่อมีสารสนเทศเพียงพอ มีความเข้าใจ มีการลำดับความคิดและมีโครงสร้างของเรื่องแล้ว
         การเขียนร่างอาจแบ่งเป็นย่อหน้าแรก ที่เป็นการแนะนำหัวข้อ ชักจูงความสนใจของผู้อ่านและเสนอจุดสำคัญของเรื่อง 2-3 จุด  ย่อหน้าต่อไปเป็นย่อหน้าสนับสนุน โดยนำจุดสำคัญมาเขียนเป็นย่อหน้าต่อเนื่องกันไป แต่ละย่อหน้ามีความคิดสำคัญ ระหว่างย่อหน้าควรมีการเชื่อมต่อให้เห็นความต่อเนื่อง และสุดท้ายเป็นย่อหน้าลงสรุป ซึ่งเป็นการสรุปความจากใจความสำคัญทั้งหมด และลงสรุปอย่างมีเหตุผล


     6. การปรับปรุง(Revise) เป็นขั้นการปรับปรุงและการแก้ไข  โดยใช้กลวิธีต่อไปนี้ในการพิจารณา คือ การอ่านออกเสียงให้ตัวเองฟัง อ่านช้าๆแล้วดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร โดยปิดข้อความทีละบรรทัดขณะที่อ่าน  เพื่อดูว่าเนื้อหาดำเนินการอย่างต่อเนื่องและราบรื่นหรือไม่ นักเรียนเขียนยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป โดยคำนึงถึงผู้อ่านที่ยังไม่รู้ในสิ่งที่นักเรียนเขียน
         การปรับปรุงต้องยึดเค้าโครงเรื่องที่วางแผนไว้  และดูจากการจัดลำดับของย่อหน้าว่ามีเหตุผลหรือไม่  มีส่วนใดควรตัดออก หรือควรรวมเข้ากับส่วนอื่น  การปรับปรุงเน้นที่เนื้อหา  การสื่อสารและลีลาการเขียน 


6. การพิสูจน์อักษร(Proofread) เป็นการตรวจสอบในเรื่องโครงสร้างทางภาษา  การสะกดผิด โดยวิธีการตรวจร่วมกับผู้อื่น อ่านดังๆเพื่อให้ได้ยินและได้เห็น  หรือรู้สึกสงสัยตลอดเวลาในการตรวจ



มีคำถามจากครูว่า"จะสอนให้นักเรียนสามารถระดมสมองและเขียนอย่างอิสระได้อย่างไร"มีคำตอบค่ะ

  
การระดมสมองมีแนวทางดังนี้
      1. ใช้กระดาษเปล่า กำหนดเวลา 5-15 นาที
      2. สรุปหัวข้อเรื่องเป็นวลี / ประโยค
      3. เขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจ  โดยคิดถึงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่อง  ทำอย่างสนุกสนาน หรือโดยตั้งคำถามและตอบคำถามเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง แม้จะเป็นคำถามแปลกๆก็ตาม
      4. ทบทวนดูว่ามีคำ/ความคิด ที่จะนำมาใช้กับหัวข้อเรื่องอีกหรือไม่ และมีใจความสำคัญในลำดับความคิดหรือไม่

การเขียนอย่างอิสระจากจุดสนใจมีแนวทางดังนี้
      1. ใช้กระดาษเปล่า  กำหนดเวลา 5-15 นาที
      2.  สรุปหัวข้อเรื่องเป็นวลี/ประโยค ขณะเขียนปล่อยให้ความคิดลื่นไหลไป
      3. เขียนอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นในใจ
      4. อย่าหยุด  อย่าลังเล  ทำอย่างรวดเร็ว
      5. ไม่มีการปรับปรุงสิ่งที่เขียน
      6. เมื่อหมดเวลาแล้วให้ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น  ปรับวลีเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง  เขียนคำ/วลี/ความคิดสำคัญ/ความรู้สึกที่มีความหมาย
      7. ปรับปรุง โดยดูคำและความคิดที่จะใช้กับหัวข้อเรื่อง ที่เป็นความคิดสำคัญของกลุ่มความคิด
"เหนื่อยนักหยุดพักสมอง...ผ่อนคลายให้มีพลัง  เพื่อทำงานสอนต่ออย่างสนุก  สุขใจและภูมิใจในความเป็นครูนะคะ"

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กระบวนการเขียน : ตอนที่ 2

               การเขียนเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อน  ที่เปิดโอกาสให้ผู้เขียนสำรวจความคิดแล้วทำความคิดนั้นให้เป็นรูปธรรม  การเขียนจึงกระตุ้นการคิดและการเรียนรู้ เพราะเมื่อเขียนความคิดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว  ผู้เขียนจะตรวจสอบความคิดของตนได้ พิจารณาใหม่ได้หรือเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงหรือเรียบเรียงความคิดใหม่ได้ 
( Ghaith.2002:Online)


            ในการสอนนักเรียนตามกระบวนการเขียน  นักเรียนต้องปฏิบัติตามกิจกรรมในขั้นตอนต่างๆของกระบวนการเขียนที่มีลักษณะการคิดกลับไปกลับมา ขั้นตอนการเขียนอาจแบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้


             1.การเตรียมการเขียน (Pre-writing) เป็นขั้นตอนแรกที่นักเรียนจะได้สำรวจความคิดเพื่อหาหัวข้อ(Topic) ที่จะเขียน โดยใช้กลวิธีการต่างๆได้แก่ การระดมสมอง การสร้างแผนภาพ การสัมภาษณ์ การเข้าร่วมอภิปราย การฟังดนตรี การประชุมปรึกษาหารือ การเขียนอย่างอิสระ การย้อนคิดทบทวนจากประสบการณ์ การดูตัวแบบการเขียน การจัดทำรายการ การจัดประเภทสารสนเทศ การแสดงความรู้สึกตอบสนองในการอ่านวรรณคดี การเล่นบทบาทสมมุติหรือละคร
การอ่านหนังสือ การดูสื่อต่างๆและการใช้คำถาม "ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไม" เป็นต้น
               กลวิธีดังกล่าวนี้ใช้เป็นหลักสำหรับนักเรียนที่ยังขาดประสบการณ์การเขียน  ซึ่งมักมีความยุ่งยากในการเข้าถึงความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์และความรู้ ในขั้นนี้จะช่วยให้นักเรียนมีจุดเริ่มต้น และตระหนักถึงแหล่งที่จะได้ความคิดในการเขียนในวันข้างหน้า
              ในขั้นนี้นักเรียนจะเลือกหัวข้อที่จะเขียน และได้ความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับหัวข้อนั้นเพื่อพัฒนาความคิดต่อไป 




2. การวางแผน(Planning) เป็นขั้นที่นักเรียนจะต้องพิจารณาถึงจุดประสงค์(Purpose) ผู้อ่าน(Audience) แนวคิด(Point of view) และรูปแบบการเขียน(Format)
           ในด้านจุดประสงค์  นักเรียนต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าต้องการเขียนเพื่อแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็น  เพื่อเล่าเรื่อง  เพื่อบรรยาย  เพื่อความบันเทิง เพื่ออธิบาย  เพื่อโน้มน้าว  หรือเพื่อแสดงออกถึงจินตนาการ
              ในการพิจารณาถึงผู้อ่าน  นักเรียนต้องพิจารณาว่าเขาเขียนสำหรับใคร  ซึ่งอาจเป็นผู้ที่คุ้นเคยใก้ลตัวได้แก่  ตัวเอง เพื่อน ครู ครอบครัว  ผู้ที่คุ้นเคยไกลตัวได้แก่  ชุมชน  องค์การนักเรียน สื่อท้องถิ่น  หรือสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย
               ในการพิจารณาถึงแง่คิด  นักเรียนจะต้องพิจารณาว่าจะแสดงความคิดหรือสารสนเทศจากแง่มุมใด  ใครเป็นผู้เล่าเรื่องหรือเป็นผู้บรรยายเหตุการณ์  สารสนเทศอะไรที่ต้องรวบรวม  และใช้วิธีใดในการรวบรวมจึงจะได้ข้อมูลมากที่สุด/ได้ผลสูงสุด เช่น จากการสัมภาษณ์บุคคล  ทัศนศึกษาหรือค้นคว้าจากห้องสมุด
               ในการพิจาณาถึงรูปแบบการเขียน  นักเรียนต้องพิจารณาจากผู้ที่จะอ่านและจุดประสงค์ในการเขียน  ทั้งนี้เพราะนักเรียนมีโอกาสที่จะเขียนได้หลายรูปแบบ เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัว การเขียนคำแนะนำ  อธิบายวิธีการ  รายงาน  วิจารณ์หนังสือ  จดหมาย  โฆษณา  ประวัติบุคคล  บันทึกประจำวัน  เรื่องสั้น  


 3. การร่าง(Drafing) เป็นขั้นของการลงมือเขียน  โดยนำความคิดจากสองขั้นแรกมาเรียบเรียงเป็นร่างข้อเขียน  โดยมีจุดเน้นที่เนื้อหาและความหมาย  ร่างข้อเขียนแรกสุดเป็นร่างหยาบๆที่นักเรียนเรียบเรียงความคิดของตนเองอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้สาระสำคัญที่ต้องการกล่าวถึง
               ต่อจากนั้นจะมีการปรับปรุง(Revising) เพื่อปรับปรุงร่างใหม่  อาจมีการตัดบางส่วนออก หรือเพิ่มเติมเข้าไป หรือจัดเรียงความคิดใหม่  นักเรียนอาจพิจารณาเองด้วยการย้อนคิดทบทวน หรือปรึกษาหารือกับครูหรือเพื่อนๆ  เพื่อให้ได้ข้อมูลย้อนกลับหรือความคิดเพิ่มเติมที่ช่วยในการปรับปรุงข้อเขียนของเขา  นักเรียนอาจใช้ชุดคำถามหรือแบบตรวจสอบรายการ(Checklist) ช่วยในการพิจารณาหรือปรึกษาหารือ  การตรวจทานเพื่อปรับปรุงนี้มุ่งที่เนื้อหาและความชัดเจนของความหมาย  การปรับปรุงทำได้ตั้งแต่ระดับคำ ประโยค ย่อหน้า หรือทั้งฉบับ
              นอกจากนี้แล้วนักเรียนจะต้องมีการแก้ไข(Editing) เกี่ยวกับโครงสร้างทางภาษาและระเบียบแบบแผนทางภาษา  โดยต้องพิสูจน์อักษรให้ถูกต้องแม่นยำในการสะกดคำ  การเว้นวรรคตอน  ไวยากรณ์  และการใช้ภาษา  นักเรียนอาจให้เพื่อนหรือกลุ่มเพื่อนช่วยในการตรวจแก้ไข  โดยใช้แบบตรวจสอบรายการช่วยในการดำเนินการ



4. การดำเนินการหลังเขียน(Post-writing) เป็นขั้นการนำผลงานของนักเรียนสู่สาธารณะ ด้วยการนำเสนอหรือการพิมพ์เผยแพร่  การจะนำเสนอต่อใครและด้วยวิธีการใดนั้นครูควรให้นักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจ  ครูเป็นผู้ให้กำลังใจและช่วยให้ความเห็น  เพราะการนำเสนอถือเป็นเรื่องที่มีผลต่อความภูมิใจในตนเองของนักเรียน  การนำเสนอผลงานเขียนอาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
           4.1 การแลกเปลี่ยน(Sharing) โดยการอ่านดังๆให้ฟังทั้งชั้น  การอ่านในกลุ่มเล็กหรือติดผลงานที่ป้ายนิเทศ
           4.2 การเผยแพร่(Publishing) อาจจัดทำเป็นหนังสือเล่มเล็กในชั้นเรียน  หนังสือพิมพ์โรงเรียนหรือท้องถิ่น  หนังสือประจำปี  การประกวดงานเขียน หรือวารสาร
           4.3 การใช้แฟ้มสะสมผลงาน(Portfolio) โดยครูและนักเรียนร่วมกันพิจารณาข้อเขียน  ทั้งในแง่จำนวนและความหลากหลายที่นักเรียนต้องการบรรจุผลงานเขียนในแฟ้มสะสมผลงาน เพื่อสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการประเมิน


       Miller(2010:Online) เสนอแนะ กลวิธีที่จะใช้ในขั้นตอนต่างๆของกระบวนการเขียน ดังนี้
      


 1. การเตรียมการก่อนเขียน(Prewriting)
          - การร่างแบบ
          - การทำรายการ
          - การระดมสมอง
          - การใช้ตัวแบบ
          - การประชุมปรึกษาหารือระหว่างครู-นักเรียน-นักเรียนด้วยกัน
          - การใช้คำถาม
          - การจับคู่แลกเปลี่ยนกับเพื่อน
          - การกำหนดเวลาเขียนอย่างอิสระ
          - การจัดกลุ่ม
              
 2. การร่าง(Drafing) 
       - การใช้แผนภาพใยแมงมุม
       - การเขียนในชั้น
       - การใช้ตัวแบบ
       - การประชุมปรึกษาหารือ
       - การกำหนดเวลาเขียน
          - การเขียนลงบัตร
3. การปรับปรุง(Revising) 
      - การร่างภาพ
      - การใช้คำถาม
      - การประชุมปรึกษาหารือ
                         - การใช้ตัวแบบ
                         - การใช้รูบิค(Rubric)
                         - การให้เพื่อนให้ความคิดเห็น

4. การแก้ไข(Editing)
       - การอ่านดังๆ
       - การใช้แหล่งค้นคว้า
       - การประชุมปรึกษาหารือ
       - การให้เพื่อนให้ความคิดเห็น
       - การใช้ตัวแบบ


5. การเผยแพร่(Publishing)
    - การแสดงบนป้ายนิเทศ
    - การรวบรวมข้อเขียน
    - การทำหนังสือพิมพ์ห้องเรียน
    - การจับคู่ห้องเรียน
        - การเผยแพร่สื่ออินเทอร์เน็ต
        - การจัดทำจดหมายข่าว
การนำเสนอครั้ง นี้ เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการสอนนักเรียนตามกระบวนการเขียน 4 ขั้นตอน
ในครั้งต่อไปจะนำเสนอแนวคิดของนักวิชาการต่างประเทศท่านอื่นๆที่มีขั้นตอนการสอนกระบวนการเขียนที่ขยายความมากยิ่งขึ้นคะ่