ความเป็นมา
การเขียนคือ วิธีการที่เราใช้ในการเก็บ/รวมความคิดที่สำคัญต่อเรา นับตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณจนถึงปัจจุบัน ในโรงเรียนเราใช้การเขียนไม่เฉพาะการบันทึกความคิดเท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้การเขียนเพื่อทำความกระจ่างในความคิดและสังเคราะห์ความคิดอีกด้วย จากการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน ได้ค้นพบว่าการเขียนและผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่างๆมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าสนใจ ถือเป็นหัวใจสำคัญของทางเลือกเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตรที่ครูต้องเลือก
การสอนเขียนในระยะแรก
การสอนเขียนในระยะแรกเน้นเฉพาะกฎเกณฑ์ทางภาษาเป็นสำคัญ ได้แก่ การคัดลายมือ ไวยกรณ์ การเขียนเว้นวรรคตอนและการสะกดคำ การประเมินผลงานเขียนของนักเรียน อยู่ที่ความแม่นยำในกฏเกณฑ์ทางภาษาและความถูกต้องของเนื้อหามากกว่ารูปแบบการเขียนและความคิดสร้างสรรค์ การเรียนการสอนเขียนจึงถูกกำหนดอยูในกรอบแคบๆ จึงง่ายต่อการกำหนดทักษะที่ครูจะฝึกแก่นักเรียน
การสอนกระบวนการเขียน
( Writing process approach )
การวิจัยการสอนเขียนในยุค ค.ศ.1970 เริ่มหันมาเน้นกระบวนการแทนที่จะเน้นเพียงผลงานเขียน การสอนกระบวนการเขียนมาจากความคิดที่ว่า การเขียนเป็นงานที่สลับซับซ้อนและเป็นงานของแต่ละบุคคล ที่สามารถอธิบายได้ด้วยขั้นต่างๆของการเขียนที่กลับไปกลับมาได้ ได้แก่ การเตรียมการก่อนเขียน การเขียน การแก้ไข และการปรับปรุง ซึ่งสามารถจัดทำเป็นตัวแบบและนำมาสอนนักเรียนได้ ทั้งช่วยให้ครูวิเคราะห์ถึงปัญหาในการเขียนของนักเรียน การจัดการเรียนการสอนและการสนับสนุนนักเรียนให้เขียนได้อย่างเหมาะสม แนวคิดเกี่ยวกับการสอนกระบวนการเขียนช่วยให้นักเรียนเข้าใจได้ว่านักเขียนจริงๆปฏิบัติงานอย่างไร ช่วยให้ตัวแบบที่หลากหลายและให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อแก้ไขงานเขียน นักเรียนจะได้รับการส่งเสริมให้เลือกหัวข้อเรื่องด้วยตนเอง ตั้งจุดประสงค์ในการเขียนเอง และเป็นการเขียนที่มีผู้อ่านจริง แนวคิดดังกล่าวนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วสหรัฐอเมริกา
การเขียนทุกวิชาทั้งหลักสูตร
( Writing across the curriculum )
ในยุค ค.ศ. 1980 และ 1990 มีแนวคิดใหม่ในการสอนเขียนเกิดขึ้น ด้วยครูตระหนักว่าการสอนเขียนให้ได้ผลดีนั้น งานเขียนขึ้นกับจุดประสงค์และผู้อ่านที่เฉพาะเจาะจง จึงจำเป็นที่ต้องมีการเขียนทั้งหลักสูตร และมีความคิดว่าครูทุกคนต้องสอนเขียน ไม่ใช่หน้าที่เฉพาะของครูที่สอนภาษาเท่านั้น แนวคิดนี้ลดการแบ่งแยกระหว่างภาษาและความรู้ในเนื้อหาวิชา และเน้นการเชื่อมโยงระหว่างการเขียนกับการพัฒนาความคิด นักเรียนจะได้รับการสอนให้เขียนรูปแบบที่หลากหลาย มีจุดประสงค์การเขียนและสาขาวิชาเฉพาะเจาะจง การเขียนทั้งหลักสูตรจะเน้นหลักสำคัญ 2 ประการคือ การเขียนเพื่อการเรียนรู้ ( Writing to learn ) ซึ่งเป็นการเขียนที่นำทางให้นักเรียนเข้าใจความคิดรวบยอดได้อย่างลึกซึ้ง และการเขียนในสาขาวิชา ซึ่งเป็นการสอนทักษะและกฎเกณฑ์ที่จำเป็นต่อการเขียนบรรยายในวิชานั้นๆ
การเขียนเพื่อความเข้าใจ
( Writing for understanding )
การเขียนเพื่อความเข้าใจเป็นแนวคิดในยุคศตวรรษที่ 21 โดยปรับมาจากหลักการของการออกแบบย้อนกลับ ( Backward design ) มาสู่การสอนนักเรียนให้เขียนได้อย่างมีประสิทธิผล แนวคิดนี้เกิดจากการ ตระหนัว่านักเรียนส่วนใหญ่ต้องการวิธีการสอนที่ชัดเจนทั้งความรู้และโครงสร้างที่เขาต้องนำไปใช้สร้างความหมายในการเขียน การอธิบายและการให้ตัวแบบจึงเป็นหลักการสำคัญของการสอนเขียน กล่าวโดยสรุปการสอนเขียนตามแนวคิดนี้มี หลักสำคัญ 3 ประการคือ การออกแบบย้อนกลับ ความเข้าใจและการสอนทางตรง นักเรียนจะได้รับรู้ถึงจุดเน้น การเรียนการสอนที่เฉพาะเจาะจงและการฝึกปฏิบัติในเรื่องต่อไปนี้
1. พัฒนาความรู้ และความเข้าใจในสิ่งที่ช่วยในการพูดและการเขียนที่ชัดเจน
2. ระบุจุดเน้นที่เหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางในการสังเคราะห์ความรู้และความเข้าใจ
3. เลือกโครงสร้างที่จะนำเสนอความรู้และความเข้าใจได้อย่างชัดเจน
4. ระมัดระวังเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางภาษา
การสอนเขียนในค.ศ.2009 ถึงปัจจุบัน
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการเขียนของสหรัฐอเมริกา ได้เสนอความคิดที่ต้องการให้มีการสอนที่ทำให้นักเรียนทุกคนเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขียนให้ชัดเจนและเขียนอย่างใช้ความคิด ในปัจจุบันหลายองค์กรพยายามกำหนดมาตรฐานกลางในการสอนภาษาอังกฤษขึ้นใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อหลักสูตรการสอนเขียนและการปฏิบัติในทศวรรษหน้า
*** หมายเหตุ***
ผู้เรียบเรียงนำเสนอบทความนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถือว่าเจริญก้าวหน้าทมีพัฒนาการสอนเขียนอย่างเป็นขั้นตอน และมีการเพิ่มมาตรฐานในการสอนมากขึ้นเป็นลำดับ เพื่อให้ผู้อ่านได้ย้อนคิดทบทวนว่าการสอนเขียนของไทยได้ก้าวจากจุดใดไปยังจุดใดชัดเจนหรือไม่ ( ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีแนวทางเช่นเขา) เราได้ก้าวไปข้างหน้าบ้างหรือไม่
ออกกำลังทุกวัน ร่างกายแข็งแรง เพื่อคิดสร้างสรรค์สิ่งดีงามแก่เด็กไทยทุกคน นะคะ |