ครูผู้สอนภาษาไทยมักตั้งคำถามดังกล่าวข้างต้น เพื่อหาแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะนำพาให้นักเรียนมีความสามารถในการเขียน
การพัฒนาความสามารถในการเขียนของนักเรียน มีหลักการ แนวคิดและแนวปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอนที่นักวิชาการให้ความเห็นและข้อแนะนำดังนี้
Unicef ( 1999 ) ให้คำแนะนำไว้ว่า การสอนเขียนมีความสำคัญและเป็นงานยาก การให้โอกาสนักเรียนได้เขียนบ่อยๆ ให้โอกาสในการปรับปรุงและขัดเกลาข้อเขียนของเขา เป็นการสร้างพื้นฐานของความสำเร็จในการเขียน สิ่งสำคัญคือ ควรให้การเขียนมีความหมาย นักเรียนควรได้แสดงออกในหัวเรื่องที่สำคัญสำหรับเขา ซึ่งอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและเหตุการณ์ในชุมชน
ข้อแนะนำอื่นๆในการสอนการเขียนได้แก่
1. เชิญชวนให้นักเรียนเขียนอย่างอิสระ โดยมีเป้าหมายหลักของการเขียนทุกระดับคือ การสื่อสารความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เชิญชวนให้นักเรียนเล่าเรื่องราวให้ผู้อื่นเขียนตาม เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการพูดและการเขียน
3. เชิญชวนให้นักเรียนเขียนเกี่ยวกับชีวิตและประสบการณ์ของเขา เพราะเด็กจะเขียนได้ดีเมื่อเขาเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้เรื่องดี
4. จัดกิจกรรมให้เด็กวัย 6-9 ปี เขียนเรื่องสั้นๆ เพราะด็กไม่อาจเขียนได้นาน การเขียนบ่อยๆ แบ่งเป็นช่วงสั้นๆให้ผลดีกว่าการเขียนช่วงเวลานานๆ
5. ส่งเสริมให้นักเรียนเขียนบันทึกประจำวัน เพราะเป็นการเขียนอิสระและไม่ได้เผยแพร่แก่ผู้อื่น ถ้าครูต้องการทราบความก้าวหน้าในความสามารถในการเขียนก็สามารถบอกนักเรียนรู้ล่วงหน้า
6. ให้โอกาสนักเรียนในการแก้ไข ปรับปรุงผลงานเขียน เพราะการปรับปรุงข้อเขียนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับเด็กที่เริ่มเขียน
7. ให้โอกาสเด็กในการเขียนตามความเข้าใจ เช่น " การหาวิธีแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์" "ภูมิอากาศที่มีผลต่อชีวิตครอบครัวของเด็ก" เพื่อการเขียนจะได้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเรียน
8. ทำให้งานเขียนของนักเรียนมีความหมาย โดยอาจพิมพ์เผยแพร่ จัดแสดงผลงานที่ผนังห้อง การแลกเปลี่ยนผลงานเขียนร่วมกับนักเรียนชั้นอื่นๆหรือครอบครัว/ชุมชน การเผยแพร่งานเขียนช่วยทำให้นักเรียนเขียนอย่างมีจุดประสงค์มากยิ่งขึ้น
Hebert ( 2008 ) กล่าวถึงหลักการทั่วไปของการจัดการเรียนการสอนเขียนที่เป็นที่ยอมรับได้แก่
1. ควรมีการเขียนในทุกวิชาตลอดหลักสูตร เพราะจากการศึกษาพบว่าวิชาใดก็ตามที่มีการกำหนดให้มีการเขียนในวิชานั้น นักเรียนจะมีผลการเรียนในวิชานั้นดีและมีความสามารถในการเขียนดีขึ้นเป็นผลที่เกิดขึ้นร่วมกัน
2. ปรับบทเรียนการเขียนให้เหมาะสมกับชั้นหรือวิชา เช่น ในชั้นเด็กเล็กใช้กลวิธีให้หา "คำที่ใช้บ่อยเกินไป" ในเด็กโตใช้กลวิธีให้ทำ "ขุมทรัพย์คำ" ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
3. อ่านให้เหมือนนักเขียน นักเขียนมักมีอุบายในการเขียนที่ทำให้ผู้อ่านสนใจและเข้าใจได้ดี ซึ่งนักเรียนสามารถศึกษาได้จากการอ่านงานเขียนของนักเขียนที่เก่ง นักเรียนจะเรียนรู้ตัวแบบเกี่ยวกับโครงสร้างและการเรียบเรียง รวมถึงการใช้คำและการเขียนประโยค
4. สอนกระบวนการเขียน ครูต้องสอนกระบวนการเขียนให้นักเรียนเข้าใจอย่างแท้จริงในแต่ละขั้นตอน เพราะจะช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเขียน ทั้นี้ครูต้องเป็นตัวแบบทุกขั้นตอน
5. ให้ข้อมูลย้อนกลับ ทำให้การประชุมปรึกษาหารือของนักเรียนเป็นไปอย่างง่ายๆ ครูควรให้ข้อมูลย้อนกลับเพียง 2 - 3 ประเด็น เพื่อไม่ให้นักเรียนต้องแก้ไขข้อบกพร่องผลงานเขียนทั้งหมด จนเกิดความท้อถอยและครูควรบันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้เพื่อแนะนำการเขียนครั้งต่อไปของนักเรียน
6. อธิบายโดยตรงแก่นักเรียนในเรื่องทักษะการเขียน เช่น การคัด การสร้างประโยค การสะกดคำ และในเรื่องกลวิธีการเขียน เช่น การวางแผน การจัดระเบียบความคิดและการปรับปรุงผลงาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ต่างเป็นองค์ประกอบของกระบวนการเขียน
7. เตรียมนักเรียนสำหรับการเขียนตามข้อกำหนด โดยเฉพาะในการประเมินผล ครูต้องแบ่งเวลาเพื่อการนี้ด้วย แม้จะไม่เป็นไปตามธรรมชาติเพราะเป็นการกำหนดให้เขียน แต่ในชีวิตข้างหน้านักเรียนต้องเรียนในระดับวิทยาลัยหรือการทำรายงานในอาชีพการงาน ล้วนเป็นการเขียนที่ถูกกำหนดหรือบังคับทั้งสิ้น
ในตอนต่อไปเนื้อหาจะเพิ่มประเด็นสำคัญ มากยิ่งขึ้นค่ะ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น